
และนี่ร้านที่จะต้องมากินข้าวเช้าเมื่อมาถึง เจ๊กิมเจ้าเดิมจ้า
ตามสูตร เราก็ต้องต่อด้วยรถสองแถว มันก็จะมีราคาเหมา หรือว่าถ้ารอคนเต็มก็ต่อคนก็ได้ แต่เราเลือกแบบเหมาๆ เพื่อมาถึง ตีนภูกันจ้า
แผนที่ระยะทางที่เราจะต้องเดินกันขึ้นไปจ้า ไกลเหมือนกัน
เราก็กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อนเนาะ ^^" เพื่อเป็นกำลังใจในการขึ้นภู
ก่อนเข้าก็ต้องไปจัดการเรื่องลูกหาบที่จะมาหาบของของเราขึ้นไป และมาผ่านด่านคนเข้าภูกระดึงก่อน
นี่เลยตั๋วผ่านทาง อิอิ เสียคนละ 40 บาทก็เดินดุ่มๆ ขึ้นไปได้จ้า
อีก 5.5 กม. กว่าจะถึงหลังแปนะจ๊ะ
พวกเราเริ่มออกเดินทางกันที่ 0 กม.
ออกเดินกันเลย เดินๆๆ จุดหมายแรกของเรา ซำแฮก เริ่มออกเดินกันลูกหาบเค้าก็นำแล้วอะ - -"
ถึงแล้ว ซำแฮก แฮกสมชื่อจริงๆ กว่าจะขึ้นมาได้ ทางชันมากกก เหนื่อยหอบแฮกๆ
วิวสูงๆ บนซำแฮก บนนี้ก็จะมีร้านค้า หากใครไม่ได้พกน้ำดิ่มมาก็สามารถมาซื้อบนนี้ได้ ราคาไม่ได้แพงมากมาย แต่เราแบกขึ้นมาแล้วก็พยายามจะกินน้ำในขวดให้หมด เพื่อแบ่งเบาภาระ (น้ำขวดเดียวก็เริ่มรู้สึกหนัก)
ตอนที่เรามา ต้นไม้เลยฤดูเปลี่ยนสีไปแล้ว แต่ก็ยังพอมีให้เห็นบ้าง จากภาพเป็นต้นไผ่เปลี่ยนสี เป็นสีเหลืองทองอร่าม
ท้องฟ้าสดใสมาก คาดว่าอากาศข้างล่างคงจะร้อน แต่ที่นี่เดินขึ้นมาแล้วอากาศเย็นสบายมากค่ะ
เปลือกไม้ตามธรรมชาติสวยมากค่ะ เห็นต้นไม้ใบหญ้าแล้วก็คลายความเหนื่อยลงไปได้บ้าง
อ่อ ก่อนจะเดินขึ้นมาเราก็ผ่านตรงที่ให้เลือกไม้เท้า เลือกให้เหมาะมือแล้วถือขึ้นมาใช้เถอะนะคะ อย่าอายที่จะใช้เนื่องจากมันจะมีประโยชน์มากเลยค่ะ แล้วก็ขาลงเอาไปคืนที่เดิมด้วยนะจ๊ะ) เราก็เดินกันต่อเพื่อไปยังจุดหมาย ซำต่อไป ซำกกโดนมาถึงแล้วซำกกโดน เหนื่อยหอบมากกว่าเดิม แต่ก็ยังสู้ตาย!!!
วิวสวยๆ บนซำกกโดนค่ะ
จากนั้นเราก็เดินไปเรื่อยๆ ค่อยๆเดิน พักตลอดทาง (ตามสไตล์ของคนไม่ฟิต)ทางก็ชันขึ้นตลอด จนด่านสุดท้าย ที่เดินกัน จะชันมากๆ มีบันได 90 องศาด้วย แต่เสียดาย เหนื่อยมากไม่ได้ถ่ายภาพเลย
และในที่สุด เมื่อมาถึงหลังแป เหนื่อยใจแทบขาด เห็นป้ายนี้แล้วน้ำตาจาไหล
วิวสวยๆ กับสนต้นเอก แห่งหลังแป
สูงมากเลยมองจากมุมนี้
มาดูลายต้นสนกันชัดๆ สวยมาก ตัดกับท้องฟ้าสีคราม
จากหลังแป เราต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 3 กิโล แต่เป็นทางเดินราบ กว่าจะถึงที่พัก พื้นดินก็เป็นทรายเหมือนชายหาดเลยค่ะ เดินไปก็ดูดพลังในการเดินพอสมควร เพราะเป็นการเดินบนทราย
ชมวิวไปเรื่อยๆ จะได้ไม่รู้สึกว่าไกล
เมื่อถึงที่พัก ก็เก็บของกันเรียบร้อย เราโชคดี ได้นอนบ้านกัน แต่ไม่มีน้ำอุ่น ก็อาบน้ำกันเย็นๆ ไปนะจ๊ะ มีเพื่อนบางคนไปชมพระอาทิตย์ตก แต่ cheekka ขอยกยอดไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันเลยแล้วกัน แหะๆ
เช้ามืดของอีกวัน เราตื่นตีสี่ เพื่อมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น อากาศหนาวมากกก การเดินก็มีเจ้าหน้าที่นำ ระยะทางไปกลับรวมๆ แล้วก็ประมาณ 3 กิโลได้ รอสักพักพระอาทิตย์ก็เริ่มมาแล้ว
เริ่มสว่างเราก็แอบมาถ่ายป้ายซะหน่อย
นึกว่าจะเห็นแค่ลำแสง ในทีุ่สุดก็เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมๆ คนยืนรอชมอยู่มากมาย
ทิ้งท้ายอีกสักรูปก่อนลาจากผานกแอ่น
ดอกไม้ระหว่างทางเดินกลับ อีก โลกว่าๆ กระดุมเงิน ดอกขาว ขึ้นเป็นกลุ่มเล็กๆ น่ารัก
สนน้อยกลอยใจ
เนื่องจากอากาศเย็นจึงจะเห็นน้ำค้างกะค้างตามกิ่งสน สวยไปอีกแบบจ้ะ
ดอกไม้ดอกเล็กๆ
สนสามพันปี ถ่ายได้จากหน้าที่ทำการ
เราก็มาฝากท้องมื้อเช้ากับโจ้กร้อนๆ และปาท่องโก๋ร้อนๆ ร้านป้าเจ้าเก่า ที่ใจดีให้เรายืมชาร์ทแบทโทรศัพท์ได้ด้วย และฟรี ที่นี่ไฟเค้าจะดับตอน สามทุ่ม และในบ้านไม่มีที่ชาร์ทไฟ อาจจะต้องไปเสียเงินตามร้านค้าเพื่อชาร์ทแบท(หากมีเต้าเสียบว่างด้วย)
กวางหนุ่มน้อยที่มายืนอวดโฉมให้ชม เพื่อแลกกับของกิน ^^ ใจนึงก็อยากให้นะ แต่ใจนึงก็คิดว่า มันจะเป็นการทำลายระบบนิเวศน์ และธรรมชาติการออกหากินของเจ้ากวางไหมนะ เลยไม่ให้ดีกว่า ชมโฉมมันเฉยๆ ก็แล้วกัน
เมื่อกินอิ่ม และซักแห้ง เอ้ย อาบน้ำกันเป็นที่เรียบร้อย ก็เริ่มออกเดินทาง ผจญภัยกัน นี่คือต้นเมเปิ้ลที่ยังเหลืออยู่ให้ดูระหว่างทาง
ใบสีแดงแรงฤทธิ์
แวะสักการะ พระพุทธรูป ก่อนออกเดินทางที่ลานพระ
องค์พระ
วิวตรงลานพระ ลักษณะจะเป็นลานหิน
รองเท้ายอดฮิต ที่ใส่แล้วเดินสบายสุดแล้วจ้า แนะนำให้ใส่ถุงเท้าสองชั้นจะกันเท้าพองได้ดีเลิศ
กองหิน
ระหว่างทางอากาศช่วงนี้ก็จะสลัวๆ เพราะมีหมอกบางๆ
เดินกันไปอย่างอินฟินิตี้ จุดหมายเป็นแบบนี้ตลอดทาง เมื่อถึงต้นไม้ต้นโน้น ก็จะมีต้นโน้น และต้นโน้น ไปเรื่อยๆ ตอนนี้อากาศแห้ง ทางก็จะเป็นทรายละเอียดตลอดทาง
ชมดอกไม้ระหว่างทาง
ป้ายระวังอันตรายจากช้างป่า ซึ่ง cheekka ก็ไม่รู้ว่า หากท่านโผล่มาจะทำเยี่ยงไรกัน แต่เราก็เดินกันอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาทค่ะ
วิวต้นสน มุมสูง
เราก็แวะดูน้ำตกธารสวรรค์ด้วย แต่น้ำน้อยอย่างที่เห็นค่ะ
ทางที่จะมุ่งหน้าไปสระอโนดาดค่ะ ทางราบสลับเนินเตี้ยๆ
อากาศยังเย็นอยู่ถึงแม้จะ 11 โมง แล้วเราก็จะสังเกตเห็นหมอกได้บนยอดไม้
วิวทิวทัศน์
ต้นไม้ต้นใหญ่มากก เราเหลือตัวนิดเดียว
มีตัวประหลาด พรางตัวอยู่บนต้นไม้ด้วย เนียนเลย
ผ่านทุ่งหญ้า
มาถึงแล้วสระอโนดาด เราก็นั่งกินข้าวเหนียวหมูที่พกมากันที่นี่ซะเลย จะได้ไม่หนัก
น้ำใสไหลเย็น สะท้อนภาพธรรมชาติด้านบนอย่างกับกระจกแก้ว
น้ำตกถ้ำสอเหนือ ที่เหมือนเป็นต้นน้ำ แวะดูซะหน่อย น้ำน้อยๆ เหมือนเดิมจ้า
ทางเดินก็ต้องเดินข้ามน้ำน้อยๆ บ้าง
มาถึงแล้วจุดหมายครึ่งทาง ผาหล่มสัก บางคนก็นิยมที่จะดูพระอาทิตย์ที่นี่ แต่เรากลัวว่าจะเดินกลับกันช้า ก็เลยขอไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาเหยียบเมฆแทนก็แล้วกัน
กว่าจะมาถึงเหนื่อยมาก ก็ขอถ่ายรูปซะหน่อย ชะง่อนหินไฮไลท์ ที่เป็นรูปเปิดค่ะ
ลูกสนแห้ง
หลังจากนั้นก็เป็นทางเดินเลาะริมผาค่ะ วิวแห้งๆ ตอนบ่ายๆ
ขาเริ่มจะก้าวไม่ออก ก็มีพักระหว่างทางไปเรื่อยๆ หรือถ่ายรูปดอกไม้ค่ะ เพื่อกำลังใจในการเดินต่อ วันนี้เราต้องเดินถึง 20 กิโล
ต้นไม้แห้ง
ทุ่งหญ้าสีทอง
มาถึงแล้วผาเหยียบเมฆ
ระหว่างพระอาทิตย์ยังไม่ตกค่ะ อากาศสลัวๆ เราก็นั่งพักเอาแรง รอพระอาทิตย์ตกดิน
ริมหน้าผา
จะตกแล้วอีกนิด
แสงอ่อนๆ ยามพระอาทิตย์ตก สวยมาก ประทับใจ ลำแสงสุดท้ายของวัน ณ ผาเหยียบเมฆ ภูกระดึง
หลังจากนั้นก็กลับทีพัก ด้วยการเดินดุ่มๆ ในที่มืด โดยมีไฟฉายส่องทาง และอากาศหนาวยะเยือก ในป่ามืดเร็วมาก กว่าจะถึงที่ทำการบ้านพักก็ขาลาก และตามด้วยอาหารมื้อค่ำที่จัดหนัก กันทุกคน ลืมอ้วนไปเลยทีเดียว
ตื่นเช้ามาและฝากร้อนไว้ที่ร้านนี้ ร้านประจำ ฝากท้องเกือบทุกวัน
ไม้เท้าคู่ใจ
วันนี้จะลงภูแล้ว แต่ขาก็ล้ามากๆ ต้องเดินกันอีกไกล รวมพลังกัน สู้ เฮ้!!!
อากาศกำลังดี ท้องฟ้าสดใส
ป้ายบอกระยะทางแรก ก่อนลง เดินไปถึง หลังแป
มองไปไกลๆ ที่จุดหมาย
มุมเดิมๆ ที่เห็นมาตลอดสามวัน
ทางลง บันได 90 องศาที่ล่ำลือ เพื่อน cheekka นำไปแล้ว ความสูงทำให้ขามันสั่นๆ รีบเก็บกล้องและตามลงไป
ทางลงก็ชันเหมือนตอนขึ้นมา แต่รู้สึกว่าไม่ง่ายเลยที่จะลง เพราะพื้นแห้ง และลื่น แถมต้องเกร็งขาไว้ตลอด ปวดเข่าใช้ได้ เนื่องจากขาใช้งานมาหลายวัน แต่ก็ยังมีดอกไม้ข้างทางให้ชื่นชม
ลงมาเจอกับเจ้าภูผาตัวอ้วน
เราก็แวะซื้อของที่ระลึกและถ่ายรูปเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างข้างทาง บรรยากาศแห้งๆ และขอปิดไว้ที่รูปนี้ เนื่องจากทางลงตรงซำแฮก ชันมาก cheekka ลื่นไปหลายรอบมาก ก้นกระแทก น้ำตาคลอ แต่ก็ลงมาได้อย่างปลอดภัย
...
....
1,601 total views, 1 views today